วันที่ 15 ม.ค.นี้ เชิญชมสุริยุปราคาครั้งแรกและครั้งเดียวของปี 53

14.1.53

สุริยุปราคา
สำหรับการชมปรากฏการณ์สุริยุปราคาในเมืองไทย ครั้งแรกและครั้งเดียวของปี 2553 ซึ่งจะเกิดขึ้นในวันที่ 15 มกราคมนี้ สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ สดร. แนะวิธีดูสุริยุปราคาอย่างปลอดภัย โดยใช้อุปกรณ์ช่วยในการสังเกตปรากฏการณ์

ซึ่งอุปกรณ์ที่สามารถนำมา มองผ่านได้โดยตรง ก็คือ กล้องโทรทรรศน์ที่ติดแผ่นกรองแสงสำหรับดูดวงอาทิตย์

หรือใช้แว่นดูดวงอาทิตย์ หรือที่เรียกว่าแว่นสุริยะ ที่ติดแผ่นกรองแสงชนิดพิเศษ (Mylar Filter, Black Polymer) ซึ่งส่วนใหญ่ตามสถานที่จัดกิจกรรมการสังเกตสุริยุปราคาของหน่วยงานต่าง ๆ มักจะผลิตขึ้นแจกฟรี ให้กับผู้เข้าร่วมงาน

หากจะดูเอง.. แล้วยังไม่มีแว่นสุริยะ ผู้เชี่ยวชาญด้านดาราศาสตร์บอกว่า อุปกรณ์ใกล้ตัวที่สามารถนำมาใช้แทนได้ก็คือ แผ่นดีวีดี ที่ไม่มีลวดลาย และไม่มีรอยถลอกใด ๆ ปิดรูตรงกลางหรือบริเวณที่แสงผ่านให้สนิทก็สามารถนำมาส่องแทนแว่นตาสุริยะได้ทันที ส่วนแผ่นซีดีนั้นไม่แนะนำเพราะว่าเคลือบฟิล์มบางเกินไป

หรือจะเป็นกระจกช่างเชื่อมเบอร์14 ก็ได้

ทั้งแผ่นดีวีดี และกระจกช่างเชื่อมเบอร์ 14 หลายคนอาจไม่คุ้นและไม่มั่นใจ แต่ได้รับการแนะนำจากสดร. รวมถึงแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสายตา อย่าง นพ.ฐาปนวงศ์ ตั้งอุไรวรรณ จักษุแพทย์จากโรงพยาบาลพระนั่งเกล้า บอกว่า สามารถนำมาใช้ได้อย่างปลอดภัย ยังไม่เคยมีกรณีที่ได้รับอันตรายจากทั้งสองอุปกรณ์นี้ แต่ก็ต้องย้ำต้องดูอย่างถูกวิธีเท่านั้น

… และไม่ควรมองดวงอาทิตย์นานเกินครั้งละ 5 วินาที …

สำหรับอุปกรณ์ที่ใช้สังเกตทางอ้อม ก็คือ การฉายภาพดวงอาทิตย์บนฉากรับภาพจากกล้องโทรทรรศน์การดูผ่านกล้องรูเข็ม การสังเกตเงาใต้ร่มไม้
นอกจากนี้ หากต้องการถ่ายภาพ “สุริยุปราคา” สามารถทำได้โดยถ่ายภาพผ่านแผ่นกรองแสงอาทิตย์ (Solar Filter) เพื่อลดความเข้มของแสงจากดวงอาทิตย์ อีกทั้งยังช่วยป้องกัน สายตาไว้มิให้เป็นอันตรายจากแสงอันแรงกล้าของดวงอาทิตย์ และอย่าใช้กล้องส่องไปยังดวงอาทิตย์โดย ตรงอย่างเด็ดขาด รวมถึงกล้องจากมือถือด้วย

วันศุกร์ที่ 15 มกราคมนี้ อย่าพลาดชมปรากฏการณ์สุริยุปราคาบางส่วนในประเทศไทยมองเห็นได้ทุกภูมิภาคของประเทศ ตั้งแต่เวลาประมาณ 14.00-17.30 น.

และสุริยุปราคาครั้งต่อไปต้องรออีกสองปีครับ เพราะฉะนั้นงานนี้ไม่ควรพลาด

link:campus.sanook.com



ความเชื่อเกี่ยวกับการเกิดสุริยุปราคา

ในอดีตคนไทยเชื่อว่าระหว่างเกิดจันทรุปราคา มียักษ์ชื่อราหูกำลังอมดวงจันทร์ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือเชื่อว่ากบกินเดือน จึงมีการส่งเสียงดังขับไล่ยักษ์ให้คายดวงจันทร์คืนออกมา ชาวจีนเชื่อว่ามังกรมาอมดวงจันทร์เอาไว้ คืนพระจันทร์แดง

เมื่อดวงจันทร์เข้าอยู่ในเงามืดทั้งหมด เกิดจันทรุปราคาเต็มดวง แสงที่เหลือไปปรากฏบนดวงจันทร์ขณะนั้น คือแสงที่หักเหผ่านบรรยากาศบริเวณขอบของโลกไปตกบนดวงจันทร์ ทำให้ดวงจันทร์มีสีแดงอิฐ หรือคล้ายสีทองแดงมัว ๆ

สุริยุปราคาเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่น่ากลัวอย่างยิ่งสำหรับมนุษย์ในสมัยโบราณ โดยเฉพาะสุริยุปราคาเต็มดวงเพราะคนในสมัยนั้น ยังไม่เข้าใจถึงสาเหตุของการเกิดสุริยุปราคาที่แท้จริง การได้เห็นท้องฟ้ามืดมิดไปชั่วขณะทั้งๆ ที่เมื่อครู่ท้องฟ้ายังสว่างอยู่ ต่างก็เกิดความเกรงกลัวคิดว่าเป็นการลงโทษจากพระเจ้าหรือเทพยดาเบื้องบน การปฏิบัติที่แสดงความเคารพบูชาของมนุษย์ที่มีต่อปรากฏการณ์นี้จึงเกิดขึ้น โยมีแนวความคิดและการปฏิบัติแตกต่างกันไปตังอย่างเช่น

คนจีนในสมัยโบราณคิดว่า สุริยุปราคา หรือจันทรุปราคาเกิดจากมังกรไล่เขมือบดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ จึงต้องจุดประทัดและตีกลองไล่เพื่อให้มังกรคายดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ออกมา

ส่วนคนไทยในสมัยโบราณ เรียกปรากฏการณ์นี้ว่าเกิด "คราส" หรือ "สุริยคราส" (คราส แปลว่า กิน) ก็มีความเชื่อที่เกิดจากเทพองค์หนึ่งชื่อ "ราหู" เกิดความโกรธที่พระอาทิตย์และพระจันทร์ฟ้องร้องพระอิศวรว่า พระราหูกระทำผิดกฎของสวรรค์ คือแอบไปดื่มน้ำอมฤตที่ทำให้ชีวิตเป็นอมตะ พระอิศวรจึงลงโทษโดยตัดลำตัวราหูออกเป็น 2 ท่อน พระราหูจึงทำการแก้แค้นโดยการไล่ "อม" พระอาทิตย์และพระจันทร์ ดังนั้นเมื่อเกิดสุริยุปราคาหรือจันทรุปราคาครั้งใดผู้คนก็จะช่วยกันตีเกราะเคาะไม้ ตีปี๊บ หรือส่งเสียงดังๆ เพื่อขับไล่พระราหูให้ปล่อยดวงอาทิตย์และดวงจันทร์เสีย นอกจากนี้คนไทยในสมัยโบราณยังเชื่ออีกว่า สุริยุปราคานำความโชคไม่ดีหรือลางร้ายมาสู่โลกเช่นเดียวกับการมาของดาวหาง

ความเชื่อแบบนี้ดำเนินมาเป็นเวลานานนับร้อยๆ ปีจนกระทั่งนักวิทยาศาสตร์ได้ทำการค้นคว้าและศึกษาถึงการเกิดปรากฏการณ์นี้ และได้อธิบายให้เห็นว่าสุริยุปราคาและจันทรุปราคาเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติตามปรกติ และมนุษย์สามารถคำนวนได้ล่วงหน้าว่าจะเกิดสุริยุปราคาและจันทรุปราคาเมื่อใด ที่ไหน และกินเวลานานเพียงใด

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น